bai sema 12icon zoom

ชื่อโบราณวัตถุ :
ใบเสมามหากปิชาดก
แบบศิลปะ :
ทวารวดี
ชนิด : 
หินทราย
ขนาด :
กว้าง 50 สูง 242 เซนติเมตร
อายุสมัย :
ทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 14 - 16
ลักษณะ :
ลักษณะและรายละเอียด
     ลักษณะเป็นใบเสมาแบบแท่งหินรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลำตัวเรียวยาวยอดสอบโค้งทั้งสี่ด้าน สลักลายกนกและลายพันธุ์พฤกษาที่บริเวณเชิงใบเสมาทั้งสี่ด้าน สลักแนวกรอบของลวดลายทั้งด้านบนและด้านล่าง เหนือเชิงของใบเสมาตกแต่งด้วยการสลักลายพันธุ์พฤกษาเป็นรูปสามเหลี่ยมยอดสอบแหลม 3 ด้าน และที่มุมทั้ง 4 มุม ด้านหนึ่งสลักภาพเล่าเรื่องเป็นรูปบุคคล 2 คน บุคคลที่ 1 อยู่ด้านล่างของภาพลักษณะคล้ายลิง ปากใหญ่ มีหาง อยู่ในอิริยาบถนอนตะแคง ยกแขนขวาขึ้นหนุนศีรษะ วางแขนซ้ายพาดลำตัว ยกขาซ้ายขึ้นในลักษณะชันเข่า บุคคลที่ 2 อยู่ทางตอนบนของภาพ ลักษณะใบหน้าเรียวยาว รายละเอียดลบเลือน ผมยาว สวมเครื่องประดับศีรษะและต่างหูนุ่งผ้าหยักรั้ง ชายผ้าสะบัดไปด้านหลัง อยู่ในอิริยาบถยืนยกแขนขึ้นเหนือศีรษะในมือถือวัตถุบางอย่างลักษณะคล้ายก้อนหิน ยกขาซ้ายขึ้น คล้ายกำลังทุ่มก้อนหินใส่บุคคลที่นอนอยู่ด้านล่างของภาพ
การวิเคราะห์เนื้อหา
     ภาพที่ปรากฏบนใบเสมาแผ่นนี้ ผู้เรียบเรียงสันนิษฐานว่าเป็นภาพเหตุการณ์ชาดก เรื่องมหากปิชาดก เป็นเหตุการณ์ตอนที่พราหมณ์ชาวนากำลังทุ่มก้อนหินเพื่อประทุษร้ายพญาวานรขณะกำลังนอนพักผ่อน จากลักษณะรูปร่างและใบหน้าของบุคคลที่กำลังนอนอยู่น่าจะหมายถึงพญาวานร ส่วนบุคคลที่กำลังยกก้อนหินขึ้นเหนือศีรษะน่าจะหมายถึง พราหมณ์ชาวนา เนื้อหาเหตุการณ์ในชาดกเรื่องนี้มีดังนี้
     "วันหนึ่งเมื่อพราหมณ์ชาวนาในหมู่บ้านกาสิกคามไถนาเสร็จ ได้ปลดโคและเอาจอบพรวนดิน ระหว่างนั้นโดได้เดินเข้าไปในป่า จึงออกตามหาแต่กลับเดินหลงทางเดินวนเวียนอยู่ในป่านาน 7 วัน 7 คืน ด้วยความหิวกระหายจึงเก็บลูกมะพลับที่ร่วงหล่นลงตามพื้นและปีนขึ้นไปเก็บบนลำต้นมากินเป็นอาหาร แต่กิ่งไม้หัก พราหมณ์ชาวนาจึงพลัดตกลงไปในเหวลึกและนอนสลบไปเป็นเวลา 10 วัน 10 คืน ต่อมาพระโพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพญาวานรมาพบ จึงสอบถามความเป็นมา พราหมณ์ชาวนาขอร้องให้พญาวานรช่วยชีวิตพญาวานรจึงผูกเชือกไว้ที่ก้อนหินแล้วให้พราหมณ์เกาะหลังและพากระโดดขึเนจากปากเหวด้วยความยากลำบาก เมื่อขึ้นมาจากเหวได้แล้วพญาวานรจึงขอนอนพัผ่อนโดยขอร้องให้พราหมณ์ระวังภัยจากสัตว์ร้ายให้ เมื่อพญาวานรหลับไป พราหมณ์ชาวนาจึงคิดฆ่าพญาวานรเพื่อกินเนื้อเป็นอาหารและนำไปเป็นเสบียงระหว่างการเดินทางจึงยกก้อนหินขึ้นมาทุ่มลงบนศรีษะพญาวานรเนื่องจากมีกำลังน้อยจึงทุ่มก้อนหินได้ไม่รุนแรงนัก พญาวานรจึงตื่นขึ้นมามีเลือดอาบทั่วทั้งตัวและตัดพ้อพราหมณ์ด้วยความเสียใจที่พยายามจะฆ่าตนทั้งๆที่พยายามช่วยชีวิต จากนั้นจึงนำไปส่งถึงทางเดินของมนุษย์เพื่อให้พ้นจากสัตว์ร้ายแล้วกระโดดเข้าไปในป่า พราหมณ์ชาวนาเกิดความรู้สึกกระวนกระวายและร้อนรนไปทั้งตัว เมื่อพบแหล่งน้ำจึงรีบเดินเข้าไปดื่มกิน ทันใดนั้นน้ำกลับมีลักษระเดือดพล่าน มีสีคล้ายน้ำเลือด น้ำที่ดื่นเข้าไปเกิดเป็นฝีขนาดใหญ่ผุดขึ้นตามร่างกาย มีน้ำเลือดน้ำหนองไหลออกจากปากแผล กลิ่นเหม็นเน่าคล้ายซากศพเป็นที่รังเกียจของผู้พบเห็น ต้องทนทุกข์ทรมานจากผลกรรมที่ทำไว้มาเป็นเวลากว่า 7 ปี จึงให้ข้อคิดแก่พระเจ้าพรหมทัตและเมืองพาราณสีและเหล่าเสนาอำมาตย์เมื่อครั้งเสด็จประพาสมิคาชินอุทยานและทอดพระเนตรเห็นมนุษย์เปรตว่า ไม่ควรประทุษร้ายต่อมิตร เพราะผู้นั้นถือเป็นคนเลวทรามผู้ใดประทุษร้ายต่อมิตรย่อมเป็นโรคเรื้อนผอมโซในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้วย่อมเข้าถึงนรก เมื่อกราบทูลเสร็จจึงถูกธรณีสูบและไปจุติในอเวจีมหานรก" 
     ในสมัยต่อมายังคงมีการวาดภาพจิตรกรรมเหตุการณ์ในชาดกตอนนี้ เช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถที่วัดเครือวัลย์วรวิหาร กรุงเทพมหานคร เป็นต้น
ประวัติ :
ได้จากอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
สถานที่จัดแสดง :
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอนแก่น

z bai sema 01
icon zoom 2